ภาษีเหล้าที่เก็บตาม ปริมาณแอลกอฮอล์ (Alcohol by Volume - ABV) แทนที่จะเก็บตามราคาหรือปริมาณขวด เป็นแนวทางที่ใช้ในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย ด้วยเหตุผลหลัก ๆ ดังนี้:
✅ เหตุผลที่เก็บภาษีเหล้าตามปริมาณแอลกอฮอล์:
1. ควบคุมผลกระทบต่อสุขภาพ
-
ยิ่งเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์สูง → ยิ่งมีโอกาสก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ เช่น โรคตับ ความดัน หรืออุบัติเหตุ
-
การเก็บภาษีตามปริมาณแอลกอฮอล์เท่ากับว่า แอลกอฮอล์ = ภาระต่อสังคม → จึงต้องเสียภาษีมากขึ้นตามความเข้มข้น
2. กระตุ้นการบริโภคอย่างรับผิดชอบ
-
เหล้าแรง (เช่น เหล้าขาว 40 ดีกรี) จะเสียภาษีมากกว่าเบียร์หรือไวน์ที่มีแอลกอฮอล์ต่ำ
-
วิธีนี้ช่วยส่งเสริมให้ผู้บริโภคเลือกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เบา ๆ แทนการดื่มเหล้าแรง
3. ลดการบิดเบือนตลาด
-
หากเก็บภาษีตาม "มูลค่า" อย่างเดียว เหล้าราคาแพงอาจเสียภาษีมากกว่าเหล้าถูกที่มีแอลกอฮอล์สูงกว่า ซึ่งไม่เป็นธรรม
-
การใช้หลัก “เก็บตามปริมาณแอลกอฮอล์” จึงสะท้อน ต้นทุนทางสังคม ได้แม่นยำกว่า
4. ง่ายต่อการควบคุมและตรวจสอบ
-
แอลกอฮอล์สามารถวัดได้ด้วยเครื่องมือแม่นยำ
-
ทำให้รัฐสามารถตรวจสอบปริมาณจริงได้ ลดการหลีกเลี่ยงภาษี
🧾 ตัวอย่าง (ในระบบสรรพสามิตของไทย):
-
รัฐจะเก็บภาษีจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยคำนวณทั้ง:
-
จากปริมาณแอลกอฮอล์ (บาทต่อลิตรแอลกอฮอล์บริสุทธิ์)
-
และจากราคาขายปลีกแนะนำ (เปอร์เซ็นต์ของราคาขาย)
-
-
แล้วนำ ค่าที่มากกว่า มาใช้เป็นเกณฑ์จัดเก็บจริง